วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

รัชกาลที่ 8

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

ลำดับเหตุการณ์

  • วันที่ 5 ธันวาคม 2488 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
  • วันที่ 9 มิถุนายน 2489 เวลาประมาณ 9.30 น. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สวรรคตด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งพระที่นั่งบรมพิมาน เวลาต่อมา สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าเป็น อุบัติเหตุโดยพระองค์[2] รัฐบาลมีประกาศว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์[3]
  • ระหว่างช่วงเวลานี้ กลุ่มนิยมเจ้าและพรรคประชาธิปัตย์ ได้พยายามใส่ร้ายว่านายกฯปรีดี เป็นผู้อยู่เบื้องการลอบปลงพระชนม์[4]
  • วันที่ 18 มิถุนายน 2489 รัฐบาลปรีดีประกาศตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีสวรรคต[5]
  • วันที่ 21 มิถุนายน 2489 เริ่มทำการชันสูตรพระบรมศพ
  • วันที่ 19 สิงหาคม 2489 ในหลวงรัชกาลที่9 เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
  • วันที่ 23 สิงหาคม 2489 นายปรีดี ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสวรรคต พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อมา และทำการสืบคดีต่อไป
  • วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 เกิดการรัฐประหาร 2490 โดยกลุ่มทหารนอกราชการที่นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลด้านการทุจริตของรัฐบาล และ ปัญหาเรื่องกรณีสวรรคตรัชกาลที่8 นายปรีดีลี้และพลเรือตรี ถวัลย์ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
  • วันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 พันตรี ควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกต่อจากพลเรือตรีถวัยย์ และดำเนินการสืบสวนคดีสวรรคตต่อ
  • วันที่ 15 พฤศจิกายน 2490 ตำรวจทำการจับกุมการจับคุมตัว นายชิต นายบุศย์ และ นายเฉลียว และได้ออกหมายจับนายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย ในฐานะผู้ต้องหาร่วมกันลอบปลงพระชนม์ในหลวงร.๘[6]
  • วันที่ 8 ธันวาคม 2490 แต่งตั้งพ.ต.ท.หลวงแผ้วพาลชน เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ต่อมาเปลี่ยนตัวหัวหน้าฝ่ายสืบสวนเป็นพระพินิจชนคดี พี่เขยของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งออกจากราชการไปแล้วให้กลับเข้ามาเข้ามาทำงาน[7]
  • วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2491 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นนายกแทนพันตรี ควง อภัยวงศ์ ตามมติคณะรัฐประหาร
  • วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 นายปรีดี พยายามกลับไทยโดยก่อ กบฏวังหลวง ขึ้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงต้องหลบหนีออกนอกประเทศ และไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดชีวิต
  • วันที่ 5 มิถุนายน 2493 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จกลับมาประเทศไทย เพื่อ ประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ, พระราชพิธีอภิเษกสมรส, และบรมราชาภิเษกแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  • วันที่ 27 กันยายน 2494 ศาลชั้นต้นมีมติให้ประหารนายชิต ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นธันวาคม 2494 ในหลวงรัชกาลที่9 เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร ระหว่างนั้นจอมพล ป. พิบูลสงครามทำรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ขณะในหลวงทรงอยู่ในเรือที่กำลังเข้ามาในน่านน้ำไทย และเสด็จถึงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2494
  • วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2498 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบให้ เรื่องโปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้(ขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ ชิต บุศย์ เฉลียว) ตามที่ราชเลขาธิการแจ้งมาว่า ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้และมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้เตรียมการประหารนัก โทษทั้ง 3
  • วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลาตี 2 หัวหน้ากองธุรการเรือนจำอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้นักโทษทั้งสามฟัง และแจ้งว่า “บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามแล้ว โดยพระองค์ได้ทรงขอให้คดีดำเนินไปตามตัวบทกฎหมาย ดังที่ศาลสถิตย์ยุติธรรมชั้นสูงได้ตัดสินไปแล้ว" และประหารชีวิต นาย เฉลียว ด้วยปืนกล 20 นาทีต่อมาได้นำตัว นายชิต ไปประหาร ถัดมาอีก 20 นาที จึงนำตัวนายบุศย์ ไปประหาร หลังการประหารสิ้นสุดลงเผ่าไปตรวจศพใบหน้าศพที่วางเรียงกันสักครู่ ทำท่าคล้ายขออโหสิกรรม

เหตุการณ์ช่วงสวรรคต

พระราชกรณียกิจครั้งสุดท้ายของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ณ ทุ่งบางเขน 5 มิถุนายน พ.ศ. 2489

9 มิถุนายน 2489 (วันเกิดเหตุ)

ประมวลจากหนังสือ กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 หน้า 7-20 และ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.8 หน้า 17-19[8][ต้องการอ้างอิง]
  • เวลาประมาณ 5.00 น. สมเด็จพระราชชนนีทรงปลุกบรรทมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อถวายพระโอสถให้เสวย จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมต่อ
  • เวลาประมาณ 6.00 น. ทรงพระประชวรพระนาภี สมเด็จพระราชชนีเสด็จไปถวายน้ำมันละหุ่ง นม และบรั่นดีแต่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลแล้วเสด็จกลับ
  • เวลาประมาณ 6.20 น. บุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเข้าเวรถวายงานที่พระที่นั่งบรมพิมาน ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้รินน้ำส้มคั้นที่ห้องเสวยเพื่อคอยทูลเกล้าฯ ถวาย
  • เวลาประมาณ 7.00 น. - 8.00 น. มหาดเล็กรับใช้ขึ้นไปบนพระที่เตรียมจัดตั้งโต๊ะเสวย
  • เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษ บุศย์เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตื่นพระบรรทมจึงนำน้ำส้มคั้นไปถวาย แต่พระองค์โบกพระหัตถ์ไม่เสวย แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นบรรทมตามเดิม บุศย์จึงกลับมาประจำหน้าที่ที่หน้าห้องพระบรรทมตามเดิม
  • เวลาประมาณ 8.30 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตื่นบรรทมเข้าห้องสรง ยื่นประทับในห้องแต่งพระองค์ บุศย์ถวายน้ำส้มพระองค์ไม่ทรงรับเสด็จเข้าห้องพระบรรทม บุศย์ถือน้ำส้มเดินตามเสด็จ พระองค์เสด็จขึ้นพระแท่นบรรทม โบกพระหัตถ์ให้บุศย์ออกไป บุศย์ถือน้ำส้มออกไป มานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าพระทวารเข้าห้องแต่งพระองค์
  • เวลา 8.55 ชิต สิงหเสนี ขึ้นไปบนพระที่นั่ง (บางหนังสือเล่าว่า ชิต สิงหเสนีมากับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร) เพื่อวัดขนาดดวงพระตราเพื่อเอาไปให้ช่างทำหีบดวงพระตรา ชิตกับบุศย์นั่งคอยอยู่หน้าห้องแต่งพระองค์
  • เวลา 9.00 น. พระพี่เลื้ยงเนื่อง (เนื่อง จิตตดุลย์) ขึ้นไปบนพระที่นั่ง เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชชนนีจัดห้องแล้วเก็บฟิล์มหนังในห้องสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช
  • เวลาประมาณ 9 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดชทรงเสวยพระกระยาหารเช้าพระองค์เดียว ณ มุขพระที่นั่งด้านหน้ามีมหาดเล็กรับใช้ 2 -3 คนเสด็จออกจากโต๊ะเสวยไปทางห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบชิต สิงหเสนี, บุศย์ ปัทมศริน ที่หน้าห้องแต่งพระองค์ทรงถวายพระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จกลับห้องของพระองค์
เส้นทางเคลื่อนไหวของบุคคลต่าง ๆ ในพระที่นั่งบรมพิมานชั้นบน ภายหลังเสียงปืนดังขึ้น เมื่อเช้าวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เวลาประมาณ 9.30 น.
  • เวลาประมาณ 9.20 น. เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ภายในห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิตสะดุ้งอยู่มองหน้าบุศย์และคิดหาที่มาของเสียงปืนอยู่ประมาณ 2 นาที จึงเข้าไปในห้องพระบรรทม พบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหลับอยู่เป็นปกติ แต่ปรากฏว่ามีพระโลหิตไหลเปื้อนพระศอและพระอังสะ (ไหล่) ด้านซ้าย ชิตจึงวิ่งไปที่ห้องบรรทมของสมเด็จพระราชชนนีแล้วกราบทูลว่า “ในหลวงยิงพระองค์”[9] สมเด็จพระราชชนนีตกพระทัย ทรงร้องขึ้นได้เพียงคำเดียวและรีบวิ่งไปที่ห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวทันที ชิต, พระพี่เลี้ยงเนื่อง, สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ, และจรูญได้วิ่งตามเสด็จสมเด็จพระราชชนนีไปติด ๆ
ขณะนั้นมีคนอยู่บริเวณพระที่นั่งชั้นบน 8 ด้วยกันคือ
  1. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (บรรทมอยู่ในห้องของพระองค์)
  2. ชิต สิงหเสนี (นั่งอยู่หน้าประตูห้องแต่งพระองค์)
  3. บุศย์ ปัทมศริน (นั่งอยู่หน้าประตูห้องแต่งพระองค์)
  4. ฉลาด เทียมงามสัจ (อยู่ห้องเสวยมุขพระที่นั่ง)
  5. จรูญ ตะละภัฎ (อยู่ในห้องสมเด็จพระบรมราชชนนี)
  6. พระพี่เลี้ยงเนื่อง (อยู่ในห้องสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช)
  7. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช (อยู่ในห้องเครื่องเล่น)
  8. สมเด็จพระราชชนนี (อยู่ในห้องของพระองค์)
ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ชิต สิงหเสนี และบุศย์ ปัทมศริน นั่งอยู่ที่พื้นระเบียงหน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์เป็นทางเดียวจะเข้าสู่ ห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันมหิดล[10]
  • เมื่อไปถึงที่ห้องพระบรรทมนั้น ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียแล้ว ในลักษณะของคนที่นอนหลับธรรมดา มีผ้าคลุมพระองค์ตั้งแต่ข้อพระบาทมาจนถึงพระอุระ ที่พระบรมศพมีบาดแผลกลางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณระหว่างพระขนง (คิ้ว) ข้างพระศพบริเวณข้อพระกรซ้ายมีปืนพกกองทัพบกสหรัฐ ผลิตโดยบริษัทโคลต์ ขนาดกระสุน 11 มม. ซึ่งนายฉันท์ หุ้มแพร มหาดเล็กเป็นผู้ทูลเกล้าฯถวาย[11] วางอยู่ในลักษณะชิดข้อศอก ด้ามปืนหันออกจากตัว ปากกระบอกปืนชี้ไปที่ปลายพระแท่นบรรทม สมเด็จพระราชชนนีได้โถมพระองค์เข้ากอดพระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอต้องพยุงสมเด็จพระราชชนนีไปประทับที่พระเก้าอี้ ปลายแท่นพระบรรทม
  • จากนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงมีรับสั่งให้ตามพันตรี นายแพทย์ หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ (นิตย์ เปาเวทย์) แพทย์ประจำพระองค์ มาตรวจพระอาการของในหลวง ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่องได้จับพระชีพจรของในหลวงที่ข้อพระหัตถ์ซ้าย พบว่าพระชีพจรเต้นอยู่เล็กน้อยแล้วหยุด พระวรกายยังอุ่นอยู่ จึงเอาผ้าคลุมพระองค์มาซับบริเวณปากแผล และปืนกระบอกที่คาดว่าเป็นเหตุทำให้ในหลวงสวรรคตไปให้บุศย์เก็บพระแสงปืนไว้ ที่ลิ้นชักพระภูษา เหตุการณ์ช่วงนี้ได้ก่อปัญหาในการพิสูจน์หลักฐานในเวลาต่อมาเมื่อมีการจัด ตั้ง “ศาลกลางเมือง” เพื่อสอบสวนกรณีสวรรคต
  • เวลาประมาณ 10.00 น. หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ได้มาถึงสถานที่เกิดเหตุและตรวจพระอาการของสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว พบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตแล้ว โดยบริเวณปากแผลมีผ้าพันแผลพันอยู่ เมื่อแกะผ้าพันแผลออกไม่พบรอยเขม่าดินปืน นอกจากนี้พระบรมศพยังได้ถูกชำระในขั้นต้นไปแล้วตามคำสั่งของสมเด็จพระราช ชนนี[12] โดยสมเด็จพระราชชนนีได้ให้เหตุผลว่า จะได้ไม่เป็นการลำบากในการเตรียมงานถวายน้ำสรงพระบรมศพในช่วงบ่าย
  • ในช่วงเวลาเดียวกัน พระยาเทวาธิราช (หม่อมราชวงศ์เทวาธิราช ป. มาลากุล) สมุหพระราชพิธีได้เดินทางไปที่ทำเนียบท่าช้าง ที่พักของปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งข่าวการสวรรคต (ขณะนั้นปรีดีประชุมกับหลวงเชวงศักดิ์สงคราม (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) พลตำรวจเอก พระรามอินทรา (ดวง จุลัยยานนท์) (อธิบดีกรมตำรวจ) และหลวงสัมฤทธิ์ สุขุมวาท (สัมฤทธิ์ สุขุมวาท) (ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล) เรื่องกรรมกรที่มักกะสันหยุดงานประท้วง)
  • ประมาณ 11.00 น. ปรีดีมาถึงพระที่นั่งบรมพิมาน และสั่งให้พระยาชาติเดชอุดม (หม่อมราชวงศ์โป๊ะ มาลากุล) อัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และเชิญคณะรัฐมนตรี มาประชุมเกี่ยวกับเรื่องการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ประชุมสรุปว่าให้ออกแถลงการณ์แจ้งให้ประชาชนทราบว่า การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นอุบัติเหตุ แถลงการณ์ของกรมตำรวจที่ออกมาในวันนั้นก็มีเนื้อหาในลักษณะเดียวกัน
  • เวลา 21.00 น. รัฐบาลเรียกประชุมรัฐสภาเป็น การด่วน เพื่อแจ้งให้สภาทราบเรื่องการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันท มหิดล และสรรหาผู้สืบราชสมบัติ ที่ประชุมได้ลงมติถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช ขึ้นสืบราชสมบัติ เป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" จากนั้นปรีดีประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงความรับผิดชอบ

10 มิถุนายน 2489

  • เจ้าหน้าที่และแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้ เดินทางมาทำการฉีดยารักษาสภาพพระบรมศพ ระหว่างการทำความสะอาดพระบรมศพเพื่อเตรียมการฉีดยานั้น คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้พบบาดแผลที่พระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) ซึ่งเป็นบาดแผลที่ทะลุจากรูกระสุนปืนที่พระพักตร์บริเวณพระนลาฏ (หน้าผาก) ตรงระหว่างพระขนง (คิ้ว) ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่จริงแล้วในหลวงถูกลอบปลงพระชนม์ เนื่องจากบาดแผลที่พบใหม่ไม่ตรงกับคำแถลงการณ์ที่ออกมาในตอนแรก และเนื่องจากบาดแผลที่ท้ายทอยเล็กกว่าที่พระนลาฏ ซึ่งโดยปกติลักษณะบาดแผลรูเข้าจะมีขนาดเล็กกว่ารูออก จึงเกิดข่าวลือว่าอาจจะถูกยิงจากข้างหลัง ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่ารัฐบาลมีส่วนในการปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว กรมตำรวจจึงออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่าได้ตั้งประเด็นการสวรรคตไว้ 3 ประเด็น คือ
  1. มีผู้ลอบปลงพระชนม์
  2. ทรงพระราชอัตวินิบาตกรรม (ปลงพระชนม์เอง)
  3. เป็นอุบัติเหตุ

11 มิถุนายน 2489

  • กรมตำรวจยัง คงแถลงการณ์ยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตด้วยอุบัติเหตุ แต่ประชาชนยังคงมีความคลางแคลงใจต่อรัฐบาลอยู่เช่นเดิม ในวันนี้ทางกรมตำรวจได้นำปืนของกลางที่พบในวันสวรรคตไปให้กรมวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบ
  • ปรีดี พนมยงค์ ได้รับเลือกจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

18 มิถุนายน 2489

เนื่องจากมีความพยายามในการนำประเด็นสวรรคตมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง นำโดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มนิยมเจ้า โดยกล่าวหาว่านายปรีดีเป็นผู้บงการให้ลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่๘ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ นายปรีดีจึงสั่งไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น ซึ่งถูกเรียกสั้นๆว่า ศาลกลางเมือง เพื่อทำการสืบสวนกรณีสวรรคต[13]

สถานที่เกิดเหตุ

เหตุเกิดที่ ชั้น2ของพระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมหาราชวัง
แผนผัง พระที่นั่งชั้น 2
สถานที่เกิดเหตุ คือในห้องบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 8) จากการสอบสวนพบว่า ไม่พบร่องรอยการปีนป่ายจากภายนอก และทางเข้าออกห้องบรรทมมีแค่ทางเดียวในขณะนั้น โดย
  • ด้านเหนือ ทางห้องทรงพระอักษร ถูกลงกลอนจากภายในตลอดและหลังเกิดเหตุ
  • ด้านตะวันตก ติดกับห้องทรงพระสำราญ มีประตู 3 บาน แต่ถูกปิดตายทั้งหมด โดยลงกลอนจากฝั่งห้องบรรทม และฝั่งห้องทรงพระสำราญมีตู้โต๊ะเก้าอี้วางกั้นอยู่ เป็นอันว่า ด้านกลางนี้ไม่ได้ใช้เป็นทางเข้าออก คงเหลือแค่เพียงทางเดียว คือ
  • ด้านใต้ ตรงส่วนห้องแต่งพระองค์ ซึ่งมีนายชิต นายบุศย์ นั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ[14]
มีบันได 3 ทางที่เชื่อมชั้นล่างกับชั้น 2 คือ
  • บันไดเวียน ด้านตะวันตก ที่อยู่ระหว่างห้องสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระอนุชา แต่ถูกปิดตายไว้นานแล้วก่อนเกิดเหตุ[15] และทางเชื่อมห้องสมเด็จพระอนุชาและห้องเครื่องเล่นถูกปิดตาย แต่ประตูที่เหลือเปิดตลอดเวลา[16]
  • บันไดเล็ก ติดกับห้องเครื่องเล่นเชื่อมชั้น 1 กับชั้น 2 และห้องใต้หลังคา เปิดใช้ตอน 7 โมง และจะถูกปิดเมื่อหมดเวลาคือไม่มีแขก เมื่อเปิดใช้จะมียามเฝ้าอยู่ที่ชั้นล่าง[17]
  • บันไดใหญ่ เปิดตลอดเวลา เวลากลางคืนจะมียามเฝ้าชั้นบน วันที่เกิดเหตุ มียามเฝ้าอยู่ข้างล่างคนนึงคือนายพร หอมเนียม[18]
แผนผัง พระที่นั่งชั้นล่าง
ขณะเกิดเหตุมีมหาดเล็กยืนยามอยู่ ดังที่เห็นในภาพคือ มุมหน้าพระที่นั่ง 2 คน ที่บันไดหลังข้างอ่างน้ำพุ 2 คน กับบันไดขึ้นชานชาลาสุดพระที่นั่งด้านตะวันตก 1 คน และมีชาวที่อยู่เวรที่บันไดระหว่างห้องภูษากับห้องเครื่องเล่นอีก[19]
  • ร.ท.ณรงค์ สายทอง เป็นผู้บังคับกองทหารมหาดเล็กที่รักษาพระที่นั่งบรมพิมาน ได้สอบถามทหารยามทั้ง (พลทหาร ขจร ยิ้มรักษา, พลทหาร บุญชู กัณหะ, พลทหาร รอย แจ้งเวหา, พลทหาร ร่อน กลิ่นผล, พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์) ที่อยู่เฝ้าประตูพระที่นั่ง ได้ความว่าหลังเสียงปืน ไม่มีคนวิ่งออกมจากพระที่นั่งไปข้างนอกเลย[20]
  • พลทหารขจร ยิ้มรักษา เฝ้าอยู่ที่บันไดพระที่นั่งคู่กับพลทหารบุญชู ก่อนเสียงปืนไม่พบใครผ่านตนเองเข้าไปในพระที่นั่งสักคนเดียว เฝ้าอยู่จนได้ยินเสียงปืนแล้ว ก็ไม่พบว่ามีใครผ่านเข้าออก[21]
  • พลทหารบุญชู กัณหะ เฝ้าอยู่ที่บันไดพระที่นั่งคู่กับพลทหารขจร หลังเสียงปืนไม่เห็นมีใครผ่านขึ้นลง จนถึง 11.00น. ก็ไม่พบเห็นผ่านเข้าออกเลย[22]
  • พลทหารลอย แจ้งเวหา เฝ้าอยู่ที่บันไดข้างซ้ายด้านหลังพระที่นั่งคู่กับพลทหารร่อนอยู่ทางด้านขวา หลังเสียงปืนมีมหาดเล็กเชิญเครื่องเสวย 2 คนผ่านขึ้นลงบันไดกลาง นอกนั้นไม่พบใครผ่าน และก่อนเสียงปืนไม่มีคนแปลกปลอมผ่านไปเลย[23]
  • พลทหารร่อน กลิ่นผล เฝ้าอยู่ทางบันไดหลังคู่กับพลทหารลอย หลังเสียงปืนเห็นมีคนเชิญเครื่องเสวย 2 คนผ่านขึ้นลงบันไดกลาง นอกจากนี้ไม่พบเห็นใครผ่านขึ้นลง[24]
  • พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์ เฝ้าอยู่บันไดด้านตะวันตก มีประตูอยู่แต่ถูกปิดตายไว้ และก่อนถึงหลังเสียงปืน ไม่พบเห็นใครผ่านทางประตูที่ตนเฝ้าอยู่เลย[25]
  • นายพร หอมเนียม เฝ้าอยู่บันไดอัฒจันทร์ใหญ่ หลังเสียงปืนเห็นนายมณี บูรณสุตและนายมังกร ภมรบุตรขึ้นๆ ลงๆ นอกจากนี้ไม่พบเห็นมีใครแปลกปลอม [26]
รูปถ่ายพระแท่นบรรทมจากเบื้องพระบาท
รูปถ่ายพระแท่นบรรทมจากเบื้องพระเศียร
โดยพระแท่นบรรทมจะมีพระวิสูตร(มุ้ง)คลุมรอบด้าน และมีเหล็กทับกดอยู่ การเข้าออกต้องแหวกพระวิสูตรเข้าไป และพระวิสูตรไม่มีรอยทะลุ หัวกระสุนพุ่งลงทะลุผ่านพระเศียร และพระเขนย(หมอน) ไปฝังในฟูกที่นอนข้างใต้[27]

การชันสูตรพระบรมศพ

ช่วงแรกหลังเหตุการณ์ ทางรัฐบาลปรีดีในขณะนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะต้องชันสูตรพระบรมศพ และกรมขุนชัยนาทฯเองก็ได้ห้ามปรามไว้[28] ต่อมารัฐบาลฯได้ออกประกาศในขณะนั้นสันนิษฐานว่าเป็นอุปัทวเหตุ(โดยพระองค์เอง)[29] และได้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์[30] ไม่กี่วันต่อมาฝ่ายปฏิปักษ์ของปรีดีฯนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มนิยมเจ้าได้นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยกล่าวหาว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ และมีนายปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้[31] เพื่อสยบข่าวลือและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ นายกปรีดีจึงประกาศจัดตั้งคณะกรรมการสืบสวนขึ้น และดำเนินการชันสูตรพระบรมศพ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง[32] การชันสูตรพระบรมศพเริ่มวันที่ 26 มิถุนายน 2489[33]

สภาพพระบรมศพเริ่มแรก

ภาพจำลองลักษณะท่าทางพระบรมศพ
ภาพจำลองลักษณะท่าทางพระบรมศพ
อาวุธปืนของกลาง
ต้องอาศัยจากคำให้การบุคคลที่เข้าไปพบพระบรมศพกลุ่มแรก[34]ในการการวิเคราะห์ เนื่องจากว่าภายหลังเมื่อตำรวจไปถึงได้มีการเคลื่อนย้ายและขยับพระบรมศพและวัตถุในที่เกิดเหตุไปจากเดิมแล้ว[35]
สภาพพระบรมศพ ทรงบรรทมหงายพิงพระเขนย(หมอน)คล้ายคนนอนหลับอย่างปกติ มีผ้าคลุมตั้งแต่พระอุระ(อก)ตลอดจนถึงข้อพระบาท(ข้อเท้า) มีพระโลหิต(เลือด)ไหลโทรมพระพักตร์(หน้า)ลงมาที่พระเขยนและผ้าลาดพระยี่ภู่ พระเศียร(หัว)ตะแคงไปทางด้านขวาเล็กน้อย บริเวณกึ่งกลางพระนลาฏ(หน้าผาก) ตรงตรงเหนือพระขนง(คิ้ว)ซ้าย มีแผลกระสุนปืน หนังฉีกเป็นแฉกคล้ายเครื่องหมายคูณกว้างยาวประมาณ4ซม. พระเนตร(ตา)ทั้งสองหลับสนิท ไม่ได้ฉลองพระเนตร(แว่นตา) พระเกศา(ผม)แสกเรียบอยู่ในรูปที่เคยทรง พระโอษฐ์(ปาก)ปิด พระกร(แขน)ทั้งสองเหยียดทอดทับนอกผ้าคลุมพระองค์แนบพระวรกายตามปกติ พระหัตถ์ทั้งสองแบอยู่ในท่าธรรมดา พระบาททั้งสองเหยียดทอดชิดกันอยู่ห่างจากปลายพนักพระแท่นประมาณ 7ซม. มีปืนของกลางขนาดลำกล้อง 11มม. วางอยู่ข้างพระกรซ้าย ลำกล้องขนานและห่างพระกร 1นิ้ว ปากกระบอกหันไปทางพระบาท ศูนย์ท้ายของปืนอยู่ตรงระดับข้อพระกร(ข้อศอก)

ผลการชันสูตรพระบรมศพ

การชันสูตรพระบรมศพเริ่มในวันที่ 26 มิถุนายน 2489 โดยมี นพ.สุด แสงวิเชียร และ นพ.สงกรานต์ นิยมเสน เป็นผู้ลงมือผ่าตัดพระบรมศพด้วยกัน และมี นพ.สงัด เปล่งวานิช เป็นผู้คอยจดบันทึกผล[37]
  • ผลตรวจสอบสารพิษ ไม่พบว่า ร.๘ได้รับสารพิษแต่อย่างใด[38]
  • วิถีกระสุนเข้าทางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณกลางหน้าผากเหนือพระขนง(คิ้ว)ซ้ายเล็กน้อย และ ทะลุออกทางพระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) โดยมีวิถีเฉียงจากบนลงล่าง และมีทิศทางเอียงจากซ้ายไปขวา[39]
  • บาดแผลที่พระนลาฎ เป็นรูปกากบาท หนังฉีกแยกเป็น 4 แฉก ทั้ง 4 แฉกจดกัน ศูนย์กลางของแผลกากบาทอยู่ที่บริเวณกลางหน้าผากเหนือคิ้วซ้ายประมาณ 1 เซนติเมตร[40]
  • ปากกระบอกปืนต้องกดชิดติดบริเวณบาดแผลเมื่อลั่นไก ไม่เช่นนั้นก็ห่างไม่เกิน 5 เซนติเมตร[41]
  • ไม่พบอาการอาการ “คาดาเวอริค สปัสซั่ม” (Cadaveric Spasm) ในพระบรมศพ กล่าวคือเป็นอาการเกร็งค้างของกล้ามเนื้ออันเกิดจากสมองตายเฉียบพลัน (ในกรณีนี้คือถูกกระสุนปืน) เนื่องจากส่วนสมองของพระบรมศพถูกกระสุนทำลายฉับพลัน[42]ซึ่งอาจแสดงให้เห็นชัดเจนจากบริเวณ แขน ขา มือ นิ้วมือ เป็นต้น

ความเห็นแพทย์จากการชันสูตร

หลังชันสูตรพระบรมศพ คณะแพทย์ได้ลงความเห็นไว้ว่า
  • ลอบปลงพระชนม์ 16 เสียง
  • ปลงพระชนม์เอง 4 เสียง
  • อุบัติเหตุ 2 เสียง
โดยคณะแพทย์ 20 คน เป็นแพทย์ไทย 16 คน แพทย์ต่างชาติ 4 คน (อเมริกัน 1 คน, แพทย์จากกองทัพบริติชและบริติชอินเดีย 3 คน)[43] และใน 16 คนแรกที่เพิ่งกล่าวถึง 8 คนบอกตัด “อุบัติเหตุ” ออกไปเลยว่าเป็นไปไม่ได้ (หนึ่งในนั้น นพ.ชุบ โชติกเสถียร ตัดการยิงพระองค์เองออกหมดคือ ตัด “ปลงพระชนม์เอง” ด้วย) ที่เหลือเกือบทุกคนใส่ “อุบัติเหตุ” ไว้หลังสุด (คือเรียงลำดับความเป็นไปได้ว่า “ถูกปลงพระชนม์, ปลงพระชนม์เอง หรือ อุบัติเหตุ”)[44] นอกจากนี้แพทย์บางคนที่ไม่เจาะจงตัดอุบัติเหตุทิ้ง ยังให้เหตุผลว่าแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็น้อยมากไม่ถึง 1ในล้าน เช่นนพ.หลวงพิณพากย์พิทยาเพท และนพ.ใช้ ยูนิพันธ์[45] โดยการนับของแพทย์ นับจากใครเห็นว่าเหตุใดมีน้ำหนักมากสุด ให้นับอย่างนั้นเป็น1 อย่างอื่นไม่นับ[46]

การวินิจฉัยของศาล

ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 รัฐบาลใหม่ได้ทำการสืบสวนต่อ โดยพุ่งเป้าไปที่เป็นการลอบปลงพระชนม์ โดยมีนายชิต นายบุศย์ นายเฉเลียว นายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย เป็นจำเลย จากนั้นอัยการโจทย์ได้นำสืบ คดีขึ้นสู่ศาล ทั้ง3ศาลวินิจฉัยความเป็นไปได้ดังนี้ จากความเป็นไปได้ทั้ง4 แบ่งเป็น
การกระทำโดยพระองค์เอง
  • ตั้งใจ (ฆ่าตัวตาย)
  • ไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ)
การกระทำโดยผู้อื่น
  • ตั้งใจ (ลอบปลงพระชนม์)
  • ไม่ตั้งใจ (อุบัตุเหตุ)

ศาลชั้นต้น

  1. กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ(ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[47]
  2. กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[48]
  3. กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ(ลอบปลงพระชนม์) ศาลมั่นใจว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์[49]
  4. กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[50]

ศาลชั้นอุทธรณ์

  1. กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ(ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[51]
  2. กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[52]
  3. กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ(ลอบปลงพระชนม์) ศาลเห็นว่าป็นการลอบปลงพระชนม์[53]
  4. กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าให้ตัดข้อนี้ทิ้งโดยไม่มีทางที่จะโต้แย้งได้[54]

ศาลชั้นฎีกา

  1. กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ(ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่ามิใช่การกระทำโดยพระองค์เอง[55]
  2. กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่ามิใช่การกระทำโดยพระองค์เอง[56]
  3. กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ(ลอบปลงพระชนม์) ศาลเห็นว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์[57]
  4. กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลฎีกาไม่ได้กล่าวถึงข้อนี้[58]

ความเห็นแย้งศาลอุทธรณ์

หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ทำความเห็นแย้งไว้ในชั้นศาลอุทธรณ์ว่า คดีนี้ควรพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสาม[59] นอกจากนี้ หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ยังให้ความเห็นว่าอาจเป็นอุบัติเหตุโดยพระองค์เอง ดังที่กล่าวไว้ในในเอกสารความเห็นแย้ง[60] และกล่าวย้ำอีกครั้งในบทสัมภาษณ์ในอีกหลายปีให้หลัง[61]

ผลกระทบ

  • สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชสืบราชสมบัติเป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช"
ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ในเวลานั้น ได้แก่
  1. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช
  2. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร
  3. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล
  • คดีนี้ได้กลายเป็นข้ออ้างสำคัญประการหนึ่งของรัฐประหาร พ.ศ. 2490 เนื่องจากรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (นายกรัฐมนตรีคนถัดจากปรีดี) ไม่สามารถสะสางกรณีสวรรคตได้ อนึ่ง กรณีสวรรคตยังส่งผลให้กลุ่มการเมืองสายปรีดีต้องพลอยหมดบทบาทจากการเมืองไทย ภายหลังรัฐประหารครั้งนี้ด้วย

การตั้งคณะกรรมการการสอบสวน

วันที่ 18 มิถุนายน ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อสอบหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอุทธรณ์ อธิบดีศาลอาญา อธิบดีกรมอัยการ ประธานพฤฒสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เจ้านายชั้นผู้ใหญ่สามพระองค์ ผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ โดยมีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นเลขานุการ และนายสอาด นาวีเจริญ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการชุดนี้เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า คณะกรรมการสอบสวนพฤติกรรมในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต

การดำเนินคดี

ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ตำรวจได้ทำการจับกุม นายชิต นายบุศย์ นายเฉลียว และออกหมายจับ นายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย จากพยานและหลักฐานที่มีอยู่ขณะนั้น ศาลนี้เชื่อว่า นายเฉลียว นายชิตและนายบุศย์ ได้ร่วมสมคบคิดกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘[62] จึงพิพากษาดังนี้
  • ศาลชั้นต้น มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี โดยให้ยกฟ้อง นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายเฉลียว ปทุมรส
  • ศาลอุทธรณ์ มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน โดยให้ยกฟ้อง นายเฉลียว ปทุมรส
  • ศาลฎีกามีมติ มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต นายบุศย์ และ นายเฉลียว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๔/๒๔๙๗ ด้วยการยิงเป้าที่เรือนจำบางขวาง

ทฤษฎีและความเชื่อ

ปัจจุบันเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ 8 มักจะเขียนสาเหตุของการสวรรคตไว้แต่เพียงสั้น ๆ ทำนองว่า "เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง" หลายฉบับอาจระบุสาเหตุเพิ่มเติมด้วย ทำนองว่า "เป็นเพราะพระแสงปืนลั่นระหว่างทรงทำความสะอาดพระแสงปืน" เข้าใจว่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการโต้เถียงกรณีสวรรคต
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรณีสวรรคตนี้แม้ถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่กระจ่างชัดเจน จึงทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ ซึ่งพยายามจะอธิบายกรณีที่เกิดขึ้น โดยประเด็นหลักก็คือกรณีสวรรคตนี้ เป็นการปลงพระชนม์โดยบุคคลอื่น หรือรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำการอัตวินิบาตกรรมปลงพระชนม์ตัวพระองค์เอง
สำหรับทฤษฎีที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ ก็จะต้องอธิบายประเด็นสำคัญให้ได้คือ ใครอยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต และประเด็นที่เกี่ยวข้องคือ จำเลยที่ถูกศาลฎีกาตัดสินว่ากระทำความผิดนั้น แท้จริงเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่

ผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต

  • สถานการณ์ในขณะนั้นพุ่งเป้าไปที่ ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งประเด็นนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากปรีดีขณะนั้นมีศัตรูทางการเมืองอยู่จำนวนมากที่ต้องการจะกำจัดออก ไป เช่น กลุ่มทหารสายจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สูญเสียอำนาจหลังร่วมกับประเทศญี่ปุ่นนำประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านขณะนั้น[ต้องการอ้างอิง]
  • ในหนังสือ The Revolutionary King: The True–Life Sequel to The King and I (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2543) ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนถึงพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ เขียนโดย วิลเลี่ยม สตีเฟนสัน ซึ่งเป็นแขกที่ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงระยะหนึ่ง ได้เขียนไว้ว่า สายลับญี่ปุ่น ชื่อ ซึจิ มาซาโนบุ (Tsuji Masanobu) ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง น่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ แต่ปัจจุบันมีหลักฐาน[ต้องการอ้างอิง]ที่ ไม่สามารถโต้แย้งได้เลยว่า นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับกรุงเทพเลย ในขณะที่ในหลวงอานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ ข้อสันนิษฐานนี้จึงตกไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น